เมื่อตัดสินใจจะซื้อโต๊ะปรับระดับด้วยไฟฟ้าทั้งที เราก็ต้องได้โต๊ะที่เหมาะกับการใช้งานของเราครับ ทาง Standing Desk Thai จึงเปิดให้สามารเลือกปรับแต่งโต๊ะได้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
โดยบทความนี้ได้รวบรวมตัวเลือกทั้งหมดและจัดออกมาเป็น 4 ชั้นตอนใหญ่ๆ โดยแต่ละขั้นตอนก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งเรารับรองว่าพออ่านจบแล้วคุณจะสามารถเลือกโต๊ะปรับระดับด้วยไฟฟ้าได้ตรงกับความต้องการแน่นอนครับ
4 ขั้นตอนเลือกสั่งซื้อโต๊ะปรับระดับด้วยไฟฟ้า
A. เลือกรูปแบบโต๊ะปรับระดับด้วยไฟฟ้า

B. เลือกชนิดท็อปโต๊ะและขนาด

C. เลือกการจัดวางสายไฟ และ D. เลือกอุปกรณ์เสริม

ถัดไปเราจะลงรายละเอียดของแต่ละขั้นตอนครับ แต่ก่อนที่จะไปเลือกโต๊ะเราแนะนำให้คุณลอง พิจารณาความต้องการเฉพาะของคุณ เช่น พื้นที่วางโต๊ะ ลักษณะงาน อุปกรณ์ที่ต้องการใช้บนโต๊ะและงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ เพื่อใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ
ทีนี้ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยเลยครับ
รายละเอียดการเลือกสั่งซื้อโต๊ะปรับความสูงด้วยไฟฟ้า(Standing Desk)
A. เลือกรูปแบบโต๊ะปรับระดับด้วยไฟฟ้า
เริ่มต้นเลยคือเลือกโต๊ะที่เหมาะสมกับการทำงานของคุณ เพราะลักษณะโต๊ะที่ต่างกันก็ตอบสนองความต้องการได้แตกต่างกัน
A.1. โต๊ะมาตรฐาน

โต๊ะยืนไฟฟ้ามาตรฐานมีฟังก์ชันการปรับความสูงได้ ช่วยให้คุณเปลี่ยนระดับความสูงของโต๊ะเพื่อรองรับการใช้งานทั้งนั่งหรือยืนตามที่คุณต้องการ ซึ่งโต๊ะของเราเหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มีความสูงตั้งแต่ 120-190 ซม ขึ้นไปครับ (เพราะตัวโต๊ะสามารถปรับความสูงได้ตั้งแต่ 60.5 ซน จนขึ้นไปถึง 120 ซม) โดย ตัวเลือกนี้เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป และสามารถตอบสนองความต้องการของบุคคลส่วนใหญ่ได้ โดยโต๊ะแบบนี้สามารถรองรับหน้าท้อปขนาด 70×50 ซม. จนถึง 200×80 ซม.
A.2. โต๊ะตัวแอลโดยส่วนยาวไม่เกิน 110 ซม

หากคุณมีพื้นที่จำกัดแต่ชอบโต๊ะรูปทรงตัวแอลเพื่อที่จะมีพื้นที่เพิ่มเติมสำหรับการวางแขนหรือการวางของด้านข้าง ตัวเลือกนี้เหมาะเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะโต๊ะนี้ให้ความสะดวกสบายด้วยดีไซน์รูปตัว L มากับขนาดกะทัดรัด ด้วยขนาดความยาวด้านแอลไม่เกิน 110 ซม จึงสามารถใช้ขาโต๊ะรุ่นนี้ที่ใช้โครงขาโต๊ะแบบ 2 ขา
A.3. โต๊ะตัวแอลโดยส่วนยาวเกิน 110 ซม

ถ้าหากโต๊ะแบบด้านบนไม่เพียงพอกับการใช้งาน คืออยากได้โต๊ะรูปตัวแอล ที่ใหญ่หน่อยโดยมีความยาวส่วนเพิ่มเติมที่เกิน 110 ซม. ขาโต๊ะรุ่นนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า โต๊ะแบบนี้จะมีพื้นที่กว้างขวางสำหรับจอภาพหลายจอ เอกสาร หรือสิ่งจำเป็นในการทำงานอื่นๆ เหมาะกับบุคคลที่ต้องการพื้นที่ทำงานที่กว้างขึ้น หรือผู้ที่ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ซึ่งรุ่นนี้จะมีขาโต๊ะทั้งหมด 3 ขา ทำให้สามารถรองรับน้ำหนักและท้อปโต๊ะยาวๆได้ครับ
A.4. โต๊ะตัวแอล 120 องศา

โต๊ะรูปตัว L ที่มีมุม 120 องศาไม่เหมือนใครรุ่นนี้จะคล้ายๆกับโต๊ะตัวแอลแบบ 3 ขา แต่ส่วนโต๊ะสองฝั่งจะปรับให้ทำมุมกัน 120องศา ช่วยให้ตอบโจทย์ทางสรีรศาสตร์มากขึ้น เนื่องจากคุณสามารถวางอุปกรณ์การทำงานให้เข้าถึงได้ง่ายทั้งด้านซ้ายและด้านขวามือ ซึ่งมีประโยชน์สำหรับงานผู้ที่ต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ พร้อมๆกันหรือบ่อยครั้ง
A.5. โต๊ะปรับระดับยาวพิเศษ 3 ขา

โต๊ะยืนไฟฟ้าแบบยาวพิเศษ คือสามารถรองรับท้อปโต๊ะที่ยาวถึง 300 ซม โต๊ะนี้ถูกออกแบบมาสำหรับการนำโต๊ะปรับระดับมาใช้เป็นโต๊ะประชุม ที่สามารถนั่งประชุม หรือทำ Stand-up Meeting ก็ทำได้ทันที หรือผู้ที่ต้องการพื้นที่ทำงานที่กว้างมากๆ และแบ่งโซนการทำงานออกเป็นส่วนๆ ยกตัวอย่างเช่น ส่วนสำหรับคอมพิวเตอร์ ส่วนสำหรับการออกแบบ ส่วนสำหรับการอ่านหนังสือ โต๊ะรูปแบบนี้ก็สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
A.6. โต๊ะพิเศษสี่ขา

โต๊ะยืนไฟฟ้าสี่ขารุ่นท้อปสุดนี้มีการออกแบบโครงสร้างที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรง มั่นคง และความสามารถในการรับน้ำหนักมากกว่าโต๊ะมาตรฐาน ตัวเลือกนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมั่นคง ความแน่น(Stable) ไม่โยก (Shake) หรือ โครงเครง(Wobble)
B. เลือกชนิดของท้อปและขนาด
เมื่อรูปแบบขาโต๊ะได้แล้วถัดไปเราก็มาเลือกท็อปโต๊ะสำหรับโต๊ะทำงานของเรากันต่อครับ:
หลักการท็อปโต๊ะสำหรับโต๊ะยืนทำงาน ให้พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความชอบทั้งรูปลักษณ์และผิวสัมผัส งบประมาณ ความทนทาน และการบำรุงรักษา ท้อปแต่ละแบบก็จะมีคุณสมบัติเฉพาะของตัวเอง
B.1. ไม้จริง คือไม้ทั้งแผ่น ที่นำมาต่อกันเพื่อให้ได้ไม้ขนาดใหญ่ตามต้องการ แล้วนำมาขัดและเคลือบด้วยเทคนิคเฉพาะของทาง Standing Desk Thai ทำให้ได้ท้อปโต๊ะที่มีเรียบเนียน ผิวสัมผัสดี ความทนทานสูง กันน้ำ กันความร้อนได้ดี ข้อดีอีกอย่างของแผ่นไม้แท้คือเมื่อเกิดความเสียบหาย ไม่ว่าจะเป็นรอยขีดข่วนก็สามารถนำมาเข้ากระบวนการขัดเคลือบให้เหมือนใหม่ทำให้ท้อปไม้จะอยู่กับเราได้ยาวนานหายห่วงครับ
ไม้แท้จะหมายถึงไม้แท้ทั้งแผ่นเนื้อตัน แต่จะมีลักษณะการต่อที่แตกต่างกันตามแต่ละชนิดของไม้ บวกกับเทคโนโลยีการเคลือบจากเยรมัน ทำให้ท้อปไม้ของเรา เนียนสวย ได้ผิดสัมผัสดี สามารถทนต่อรอยขีดข่วนได้ดี กันน้ำ ความเย็นและความร้อนได้ครับ
Standing Desk Thai ได้เตรียมไม้หลากหลายแบบมาให้เลือกทั้ง ไม้สักพม่า ไม้วอลนัท ไม้มะฮอกกานี ไม้โอ๊ค ไม้บีช ไม้แอช และไม้ยางพารา โดยไม้แต่ละชนิดก็จะมีสีและลวดลายที่แตกต่างกัน
ไม้สักพม่า:
ไม้สักพม่าที่ผูกพันกับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย เพราะมีสีน้ำตาลทองอบอุ่น เส้นลายไม้ตรง ไม้สักเป็นไม้เนื้อแข็งมีความทนทานสูงและทนทานต่อการผุพัง ทนทานต่อน้ำและแมลง จึงเหมาะสำหรับเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้งหรือท็อปโต๊ะ ด้วยการดูแลที่เหมาะสม โต๊ะไม้สักพม่าสามารถมีอายุการใช้งานได้หลายปีโดยไม่สูญเสียความสวยงามหรือความแข็งแรง
ไม้วอลนัท:
วอลนัทเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีสีน้ำตาลเข้ม ประกอบกับลายไม้โค้งวนให้ความรู้สึกนุ่มลึกและหรูหรา ไม้มีความแข็งแรง ทนทาน และมีพื้นผิวที่เรียบ ด้วยสีและลายไม้ ทำให้ไม้วอลนัทเป็นตัวเลือกที่มาแรงสำหรับการใช้งานเป็นท้อปโต๊ะขณะนี้ครับ
ไม้มะฮอกกานี:
มะฮอกกานีเป็นไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลแดงเข้มที่มีลายไม้ตรงและสม่ำเสมอ ไม้มีความแข็งแรงและทนทานในระดับพรีเมียม ถ้ามีโต๊ะมะฮอกกานีอยู่ในห้องจะช่วงดึงดูดสายตา เพิ่มความหรูหรา สง่างามและความอบอุ่น
ไม้โอ๊ค:
ไม้โอ๊คเป็นไม้เนื้อแข็งยอดนิยมที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรง ทนทาน และสวยงามตามธรรมชาติ ไม้มีสีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลปานกลาง ท็อปโต๊ะไม้โอ๊คเหมาะสำหรับการตกแต่งในแบบมินิมอล แต่ก็สามารถใช้ในการออกแบบสมัยใหม่ได้เช่นกัน
ไม้บีช:
บีชเป็นไม้เนื้อแข็งสีอ่อนมีลายที่ละเอียดสม่ำเสมอ ไม้มีความแข็งแรง ทนทาน และมีพื้นผิวที่เรียบทำให้ง่ายต่อการใช้งาน ไม้บีชมีสีที่ออกส้มๆพอนำมาทำเป็นท็อปโต๊ะจึงมีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอลสไตล์มินิมอลหรือสไตล์สแกนดิเนเวีย
ไม้แอช:
ไม้แอชเป็นไม้เนื้อแข็งสีอ่อนที่มีลวดลายเส้นชัดเจน ไม้มีความแข็งแรง ทนทาน และมีความมันวาวเล็กน้อยซึ่งให้รูปลักษณ์ที่ดูซับซ้อน และสีอ่อนของไม้จะช่วยเพิ่มความสว่างให้กับตัวห้อง
ไม้ยางพารา:
ไม้ยางพารา เป็นไม้เนื้อแข็งสีอ่อนที่มีลายไม้ละเอียด ไม้มีความแข็งแรง ทนทาน ไม้ยางพาราเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นไม้ที่เก็บเกี่ยวจากสวนยางพาราที่หมดอายุการใช้งานในการผลิตน้ำยางแล้ว เป็นไม้เดียวที่เป็นไม้ของไทยเอง นิยมนำมาย้อมสีไม้ตามต้องการ
B.1.1. ไม้แท้แบบเพาะข้าง:

ไม้เพาะข้างคือไม้หน้าใหญ่และยาวมาต่อเฉพาะด้านข้างเท่านั้นจึงทำให้ได้ไม้ที่มีลายไม้สวยยาวต่อกัน และมีความแข็งแกร่งสูง โดยมาตรฐานจะมีความหนา 2 เซนติเมตร แต่ก็สามารเลือกสั่งความหนาตามต้องการได้
B.1.2. ไม้ประสาน:

คือไม้ที่เชื่อมต่อโดยการประกอบไม้ชิ้นเล็กๆ เข้าด้วยกันทั้งด้านกว้างและด้านยาว เพื่อให้ได้ไม้ตามขนาดที่ต้องการ วิธีการประสานนี้ให้ความมั่นคงและทนทานที่เพียงพอสำหรับการใช้เป็นโต๊ะทำงาน ในขณะที่ยังคงความงามของไม้ธรรมชาติ ไม่เหมือนใครด้วยลวดลายคล้ายโมเสก และเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับไม้แบบเพาะข้าง
B.1.3. ตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับไม้แท้:
การผลิตท้อปไม้แต่ละแผ่นเป็นงานผลิตซึ่งทำด้วยมือซึ่งสามารถเลือกปรับเปลี่ยนตกแต่งตามที่ต้องการได้ ด้านล่างคือตัวเลือกที่สามารถเลือกทำได้ครับ

B.1.3.1. การเว้าหน้า
การเว้าหน้าโต๊ะหรือ “Concave Front” ทำให้โต๊ะดูมีดีไซน์ แปลกใหม่ และทันสมัย แต่จริงๆแล้วโต๊ะแบบนี้มีข้อดีคือ เราสามารถสอดตัวเข้าไปใกล้จุดกึ่งกลางของโต๊ะได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลหลักๆสามจุดด้วยกัน
.
(1) “ลำตัว” คือเมื่อตำแหน่งของเราใกล้ตัวโต๊ะแล้ว เราก็จะเข้าใกล้หน้าจอมากขึ้น ระยะเอื้อมของมือถึงสิ่งของบนโต๊ะก็ทำได้ง่าย หลีกเลี่ยงการเอนไปข้างหน้าโดยไม่จำเป็น
(2) “ข้อมือ” คือพอสอดตัวเข้าไปในโต๊ะ เราจะมีพื้นที่สำหรับพักท่อนแขนและข้อมือบนโต๊ะ
(3) “เก้าอี้” พื้นที่โค้งๆส่วนนี้ก็จะสามารถเข็นเก็บเก้าอี้เข้าไปใต้โต๊ะได้เรียบร้อยขึ้น
.
ส่วนข้อเสียของโต๊ะแบบเว้าหน้าก็มีครับคือ เสียพื้นที่ใช้งานบนโต๊ะไปบางส่วน ดังนั้นก่อนเลือกทำโต๊ะแบบนี้ควรวัดพื้นที่ที่ต้องการใช้งาน และระยะระหว่างหน้าจอกับตัวเราให้ดีก่อน ที่เราแนะนำคือควรมีระยะจากตัวเราไปถึงหน้าจอที่ใช้งานประมาณ 1 ช่วงแขนครับ

B.1.3.2. การทำขอบตรง
โต๊ะทำงานที่มีมุมแหลมจะดูแข็งแรง ทันสมัย และสะอาดตา มักเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ต้องการพื้นที่ทำงานสไตล์มินิมอลและอินดัสเทรียล มุมที่แหลมคมยังช่วยให้มีพื้นที่โต๊ะสูงสุด
B.1.3.3. การทำขอบมน
ขอบแบบมุมมนจะดูนุ่มนวลและเป็นมิตรมากกว่าโต๊ะที่มีมุมแหลม มีโอกาสน้อยที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือรู้สึกไม่สบายเมื่อชนหรือเอนพิง มุมที่โค้งมนยังช่วยให้โต๊ะทำงานดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมาะกับพื้นที่ทำงานสร้างสรรค์
B.1.3.4. การทำขอบโค้ง
ขอบยอดนิยมของโต๊ะทำงานแบบยืนที่มีมุมโค้งทำให้โต๊ะดูโฉบเฉี่ยว ทันสมัย ในขณะเดียวกันก็เอนพิงหรือชนได้สบายยิ่งขึ้น มุมโค้งยังให้พื้นที่โต๊ะมากกว่าขอบมน ในขณะที่ยังให้ความปลอดภัยมนมากกว่าขอบตรง
B.1.3.5. การทำขอบเพ่
โต๊ะทำงานที่มีมุมลาดเอียงช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับพื้นที่ทำงานด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัยและโฉบเฉี่ยว
B.1.3.6. การลบคมไม้
ส่วนของขอบและมุมโต๊ะเราสามารถทำการลบคมไม้ด้วยความโค้งที่ลูกค้าต้องการได้ครับ โดยมาตรฐานเราจะลมคมด้วยความโค้ง R3 ครับ ทีนี้ก็จะสามารถวางข้อศอกบนโต๊ะได้อย่างสะดวกสบายครับ
ตัวเลือกถัดไปคือวัสดุเทียไม้ เช่น ไม้อัดหรือ MDF (แผ่นใยไม้อัดความหนาแน่นปานกลาง) วัสดุเหล่านี้ทำขึ้นโดยการเชื่อมเส้นใยไม้หรือแผ่นไม้อัดหลายๆ ชั้นเข้าด้วยกัน ทำให้ได้วัสดุที่แข็งแรงและราคาไม่สูง และปิดผิวและขอบด้วยลามิเนทหรือเมลามีนเพื่อเลียนแบบไม้จริงในขณะที่ให้ความมั่นคงและต้านทานการบิดงอมากขึ้น
B.2. เมลามีน:
B.2.1. การประมวลผลเมลามีน:
ตัวอย่างท็อปเมลามีนของ Standing desk Thai สีดำ สีขาว สีเทา ตัวอย่างท็อปเมลามีนของ Standing desk Thai ตัวอย่างท็อปเมลามีนของ Standing desk Thai
ท็อปโต๊ะเมลามีนทำจากวัสดุพื้นผิว (โดยปกติคือ MDF หรือพาร์ติเคิลบอร์ด) ที่เคลือบด้วยเรซินเมลามีน การเคลือบนี้ให้พื้นผิวที่เรียบและทนทาน ทนต่อการขีดข่วน คราบสกปรก และความร้อน ท็อปโต๊ะเมลามีนมีสีและลวดลายให้เลือกมากมาย ทำให้มีตัวเลือกการออกแบบที่หลากหลาย โดยทั่วไปราคาย่อมเยาและการบำรุงรักษาต่ำเมื่อเทียบกับตัวเลือกไม้จริง
B.3. ลามิเนต:
B.3.1. กระบวนการเคลือบ:
พื้นโต๊ะลามิเนทประกอบด้วยวัสดุสังเคราะห์ (โดยทั่วไปคือลามิเนตแรงดันสูง) ที่ใช้กับพื้นผิว เช่น MDF หรือพาร์ติเคิลบอร์ด กระบวนการเคลือบสร้างพื้นผิวที่ทนทานและทำความสะอาดง่าย ซึ่งทนทานต่อรอยขีดข่วน ความชื้น และการซีดจาง พื้นโต๊ะลามิเนตมีสี ลวดลาย และพื้นผิวให้เลือกมากมาย รวมถึงตัวเลือกที่เลียนแบบรูปลักษณ์ของไม้จริงหรือหิน พวกเขาเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับราคาย่อมเยา ความทนทาน และความอเนกประสงค์
C. เลือกการจัดวางสายไฟ
เมื่อพูดถึงการจัดการสายไฟสำหรับโต๊ะทำงาน มีตัวเลือกมากมายให้เลือกเพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่ทำงานที่สะอาดและเป็นระเบียบ ลองสำรวจตัวเลือกเหล่านี้และเรียนรู้วิธีจัดการสายไฟอย่างมีประสิทธิภาพ:
C.1. เว้าหลัง:
หากโต๊ะทำงานของคุณมีหลังเว้า ให้ใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะการออกแบบนี้ ใช้ช่องว่างระหว่างแผงด้านหลังกับผนังเพื่อเก็บและซ่อนสายเคเบิล ใช้คลิปหนีบสายเคเบิลแบบกาวหรือแถบตีนตุ๊กแกเพื่อยึดสายเคเบิลตามแนวเว้าด้านหลัง ทำให้ไม่เกะกะสายตาและลดความยุ่งเหยิงให้เหลือน้อยที่สุด
C.2. เจาะรูสำหรับเดินสายไฟ:
หากต้องการสร้างระบบการจัดการสายไฟที่ราบรื่น ให้พิจารณาการเจาะรูบนโต๊ะทำงานของคุณเพื่อเดินสายเคเบิล มีรูหลายประเภทให้คุณเลือก:
C.2.1. การเจาะรูกลม:
ใช้เครื่องเจาะรูหรือสว่านสร้างรูกลมบนพื้นผิวโต๊ะ สอดสายเคเบิลผ่านรูเหล่านี้เพื่อให้เป็นระเบียบและป้องกันไม่ให้พันกัน คุณสามารถใช้วงแหวนยางหรือปลอกหุ้มสายไฟเพื่อให้ดูสะอาดตาและเรียบร้อย
C.2.2. เจาะรูสี่เหลี่ยมเล็กๆ:
หากคุณมีสายเคเบิลหลายเส้นที่ต้องร้อยผ่านรูเดียว ให้ลองเจาะรูสี่เหลี่ยมเล็กๆ สิ่งนี้ทำให้คุณสามารถส่งผ่านสายเคเบิลหลายสายผ่านพื้นที่ที่มีขนาดกะทัดรัด ใช้บุชชิ่งสายไฟหรือยางรองโต๊ะเพื่อป้องกันสายไฟและทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
C.2.3. เจาะรูสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่:
สำหรับสายเคเบิลขนาดใหญ่หรือชุดสายเคเบิล อาจจำเป็นต้องเจาะรูสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ขึ้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่ารูกว้างพอที่จะรองรับสายเคเบิลทั้งหมดที่คุณต้องผ่าน อีกครั้ง ให้ใช้อุปกรณ์เสริมการจัดการสายเคเบิลเพื่อรักษารูปลักษณ์ที่เรียบร้อยและเป็นระเบียบ
C.3. วางปลั๊กไฟบนโต๊ะ:
เพื่อให้เข้าถึงปลั๊กไฟได้สะดวก ให้พิจารณาตัวเลือกต่อไปนี้:
C.3.1. ซ็อกเก็ตป๊อปอัพ:
เต้ารับแบบป็อปอัพคือปลั๊กไฟแบบยืดหดได้ซึ่งวางชิดกับพื้นผิวโต๊ะ เพียงแค่กดหรือดึง ปลั๊กไฟก็สามารถเข้าถึงได้หรือซ่อนไว้ ตัวเลือกนี้ช่วยให้คุณเชื่อมต่อและถอดอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดายโดยที่ซ่อนสายไว้เมื่อไม่ได้ใช้งาน
C.3.2. 2 ช่องจ่ายไฟที่ซ่อนอยู่:
ติดตั้งปลั๊กไฟที่ซ่อนอยู่บนพื้นผิวโต๊ะ เต้ารับเหล่านี้ออกแบบมาให้มีฝาปิดมิดชิดเมื่อไม่ใช้งาน การมีเต้ารับหลายช่องทำให้คุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ได้โดยไม่เกะกะพื้นที่ทำงาน
C.3.3. 3 ช่องเสียบไฟที่ซ่อนอยู่:
คล้ายกับตัวเลือกก่อนหน้า ตัวเลือกนี้มีปลั๊กไฟเพิ่มเติมเพื่อความสะดวกที่เพิ่มขึ้น การมีปลั๊กไฟหลายจุดบนโต๊ะช่วยให้มั่นใจว่าคุณมีไฟฟ้าเพียงพอสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ของคุณ
C.4 วางปลั๊กไว้ใต้โต๊ะ:
หากคุณต้องการให้ปลั๊กไฟอยู่ในสายตา คุณสามารถวางไว้ใต้โต๊ะได้ ใช้กาวหรือคลิปหนีบสายแม่เหล็กเพื่อยึดปลั๊กกับด้านล่างของพื้นผิวโต๊ะ สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาจัดระเบียบและป้องกันไม่ให้แขวนหลวม ๆ
C.5 การติดตั้งถาดสายเคเบิล:
ติดตั้งถาดเก็บสายเคเบิลใต้โต๊ะเพื่อเก็บและเดินสายเคเบิล ถาดเก็บสายไฟติดตั้งในแนวนอนและมีพื้นที่สำหรับเก็บสายไฟโดยเฉพาะ ช่วยเก็บสายไฟให้เป็นระเบียบ ป้องกันการพันกัน และดูสะอาดตา
C.6 เคล็ดลับและเคล็ดลับ:
ใช้ปลอกหรือห่อเก็บสายเคเบิลเพื่อมัดและซ่อนสายเคเบิลเข้าด้วยกัน ท่อที่มีความยืดหยุ่นเหล่านี้สามารถตัดให้ได้ขนาดได้ง่ายและให้รูปลักษณ์ที่คล่องตัว
ติดฉลากหรือรหัสสีสายเคเบิลเพื่อให้ระบุและติดตามได้ง่ายเมื่อจำเป็น
ตรวจสอบและปรับสายเคเบิลเป็นประจำเพื่อรักษาพื้นที่ทำงานที่สะอาดและเป็นระเบียบ
พิจารณาใช้เทคโนโลยีไร้สายเพื่อลดจำนวนสายที่ต้องใช้ เช่น คีย์บอร์ดไร้สาย เมาส์ และแท่นชาร์จ
โดยพิจารณาจากทางเลือกต่างๆ เช่น เจาะรู ใช้ปลั๊กไฟบนโต๊ะ วางปลั๊กใต้โต๊ะ ติดตั้งสายไฟ
D. เลือกอุปกรณ์เสริม
อุปกรณ์เพิ่มเติม